วันอาทิตย์, กันยายน 18, 2559

ตั่วห่า กับ เจี๊ยฉ่าย สองเรื่องในบริบทเดียวกัน

ตั่วห่า กับ เจี๊ยะฉ่าย

สำหรับบทความนี้ ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่ได้หวังว่าจะให้เป็นบรรทัดฐานแต่อย่างใด แค่..เล่า..สู่..กัน..ฟัง

ทั้ง "ตั่วห่า(ประเพณีการไว้ทุกช์)" และ "เจี๊ยะฉ่าย(ประเพณีกินผัก)"
ล้วนเป็นประเพณีที่ลูกหลานจีน(ในที่นี้กล่าวถึงลูกหลานจีนโพ้นทะเลที่อาศัยอยู่ในแถบจังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน)ประพฤติปฏิบัติสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นอย่างยาวนาน

สำหรับผมที่อยู่ในช่วงการไว้ทุกข์(ตั่วห่า)ให้แก่บิดาผู้ล่วงลับ กลับมีหลายๆท่าน ตั้งหลายๆคำถามที่เกี่ยวข้องกับประเพณีกินผัก(เจี๊ยะฉ่าย) ที่กำลังจะมีขึ้นในช่วงวันที่ 1-9 เดือน 9 (ตามจันทรคติแบบจีน) ว่า...

คนไว้ทุกข์ห้ามเข้าร่วมเจี้ยะฉ่ายใช่มั้ย
ไว้ทุกข์จะเข้าร่วมเจี้ยะฉ่ายได้มั้ย
จะต้องปลดทุกข์เพื่อเข้าร่วมประเพณีเจี้ยะฉ้ายหรือไม่
ฯลฯ

จึงขอใช้พื้นที่ส่วนตัวนี้ ตอบคำถามเหล่านี้ โดยเน้นว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมเองอีกครั้ง

สำหรับผม ขอตอบว่า...
"คนไว้ทุกข์ สามารถเจี้ยะฉ่ายได้ แต่..ไม่เข้าร่วมในพิธีกรรมต่างๆหรือไม่เข้าไปในปริมณฑลพิธีที่จัดงาน ก็แค่นั้น"

ถ้าเน้นเรื่องของจิตใจ ท่านสามารถทำทั้งสองอย่างได้ไปพร้อมๆกัน ด้วยเหตุที่ผมจะบอกไว้ว่า
"ถ้าไม่มีบรรพชน เราคงไม่ได้เกิดมาเจี้ยะฉ่าย"

จอ บอ จบ



วันอังคาร, กันยายน 13, 2559

"ฮกเกี้ยนตงชิ้ว หรือ เอี๊ยวเปี้ย" ขนมไหว้พระจันทร์สไตล์ฮกเกี้ยน

ในแต่ละรอบปี ชาวจีนมีสารทมากมาย และในเดือนแปดนับตามจันทรคติแบบจีน คนไทยเชื้อสายจีนนิยมเรียกว่า "เทศกาลไหว้พระจันทร์" สำหรับปี พ.ศ.2559 ตรงกับวันที่ 15 กันยายน (15ค่ำ เดือน8 จีน) เป็นวันไหว้พระจันทร์
ตัวเอกของงานนี้ คงหนีไม่พ้น "ขนมไหว้พระจันทร์" ซึ่งมีหลากหลายสูตรหลากหลายแบบ แต่ที่โดดเด่นที่สุดคงเป็น "ขนมไหว้พระจันทร์แบบกวางตุ้ง" อย่างที่เห็นกันทั่วไป

ขนมไหว้พระจันทร์ แบบกวางตุ้ง (หรือ มาเก๊าเปี้ย)
ขนมไหว้พระจันทร์แบบแต้จิ๋ว(หรือ ตั่วหล่าเปี้ย) 

ขนมไหว้พระจันทร์แบบแต้จิ๋ว(หรือ ตั่วหล่าเปี้ย) 

สำหรับคนไทยเชื้อสายจีนฮกเกี้ยนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดฝั่งอันดามันของไทยนั้น เรียกเทศกาลนี้ว่า "ตงชิ้วโจ้ย" และเรียกขนมไหว้พระจันทร์ว่า "ตงชิ้วเปี้ย" หรือ "เอี๊ยวเปี้ย" ขนมไหว้พระจันทร์แบบฮกเกี้ยน(ฮกเกี้ยนตงชิ้ว) ที่แตกต่างกันไปจากแบบกวางตุ้ง ซึ่งในปัจจุบันหายากเต็มที


ขนมไหว้พระจันทร์แบบฮกเกี้ยน(ฮกเกี้ยนตงชิ้ว หรือ เอี๊ยวเปี้ย) 

ขนมไหว้พระจันทร์แบบฮกเกี้ยน(ฮกเกี้ยนตงชิ้ว หรือ เอี๊ยวเปี้ย)  ด้านล่างจะมีงาขาว

ขนมไหว้พระจันทร์แบบฮกเกี้ยน(ฮกเกี้ยนตงชิ้ว หรือ เอี๊ยวเปี้ย) ด้านบนและด้านล่างของขนม

ขนมไหว้พระจันทร์แบบฮกเกี้ยน(ฮกเกี้ยนตงชิ้ว หรือ เอี๊ยวเปี้ย)  ไส้จันอับ(ฟักเชื่อม)

ขนมไหว้พระจันทร์ สารพัดไส้

และนี้คือส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมด้านอาหารที่บ่งบอกถึงที่มาของแต่กลุ่มชน ที่บรรพชนได้สร้างสรรค์ขึ้นมาตั้งแต่ครั้งก่อน...

ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
http://ahkew.blogkaki.net/viewblog-102566/
http://www.guangming.com.my/node/112770

วันเสาร์, กันยายน 03, 2559

"บาบ๋าผ้อ ตะกั่วป่า 2559"

"บาบ๋าผ้อ ตะกั่วป่า 2559"

ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งปีสำหรับประเพณีประจำเดือนเจ็ด (จันทรคติแบบจีน) นั่นคือ "ผ้อต่อ"
กิจกรรมที่มุ่งเน้นถึงการทำบุญทำทานโปรดดวงวิญญาณที่ล่วงลับ ตามแบบคติความเชื่อของชาวจีน(ที่คลลุกเคล้าที่พุทธ เต๋า ฯ เข้าด้วยกัน) ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วคน

สำหรับที่ "ตะกั่วป่า"
มีการจัดงานผ้อต่อขึ้นที่ "ศาลเจ้าฮกเกี้ยนโฮ้ยก้วน" ซึงจากคำบอกเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ ท่านว่า ณ ที่นี้ ได้มีการงานผ้อต่อ ในวันสุดท้ายของเดือนเจ็ด เป็นงานเล็กๆของกลุ่มคนที่สืบทอดกันมาหลายช่วงอายุคน
เป็นการจัดที่เรียกว่า "บาบ๋าผ้อ"

โดยจะมีการนำเครื่องไหว้ อาหารคาวหวาน ผลไม้ต่างๆมาไหว้องค์ผ้อต่อก้ง ซึ่งที่นี้มีเพียงกระถางธูปติดนามองค์ผ้อต่อก้งไว้เสมือนหนึ่งเป็นตัวแทนของเทพเจ้าไว้เท่านั้น

และในช่วงหัวค่ำบรรดาสมาชิกของโฮ้ยก้วยจะมาร่วมพิธีไหว้องค์ผ้อต่อก้งและร่วมรับประทานอาหารด้วยกันเป็นอันจบพิธีสำหรับประเพณี "ผ้อต่อ ตะกั่วป่า"

สำหรับเครื่องเซ่นไหว้ที่พิเศษของงานนี้จะเป็น "เต่า" ที่สือถึงความมีอายุยืนยาว บวกกับเรื่องราวที่กล่าวอ้างจากเรื่องของพระถึงซำจั่งข้ามทะเลจึงมีการนำเต่ามาเป็นสัญลักษณ์ในงานนี้

เต่าแป้งขนมโก๋ ขนาดใหญ่ เขียนลวดลายมงคล

เต่าแป้งขนมโก๋

เต่าแป้งขนมโก๋ ลายอักษรซิ่ว อายุยืน



เต่าชุดนี ให้ชื่อ "ซิ่วกู้" มาจากเส้นหมี่ที่ยืดยาว หมายถึงการมีอายุยืนตรงกับภาษาจีนที่ว่า "壽/寿ซิ่ว" และกู้ ""ที่หมายถึงเต่าในสำเนียงหมิ่นหนาน(ฮกเกี้ยน)




เต่าแป้งขนมไส้ไก้หรือแป้งเจี๊ยะโก้ย "ปาท่องโก๋"

เต่าจากส้มโอ

วุ้นลายอักษร "寿ซิ่ว" อายุยืน


รูปแบบของการจัดทำอาจมีการปรับเปลี่ยน มีทั้งแบบเก่าบ้าง ใหม่บ้าง
แต่ขอให้ไม่หลุดออกจาก "กรอบของงาน"
ผมก็ว่าเป็นการสืบสานการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีคงให้คงอยู่สืบไปได้
"""ผมว่าไว้..เอง""


วันอาทิตย์, พฤษภาคม 01, 2559

เต่เหลี่ยว ‪#‎茶料

เต่เหลี่ยว ‪#‎茶料‬ 

เป็นขนมนานาชนิดที่กินกับน้ำชา และมักทำมาจากธัญพืช เป็นขนมที่มีนัยยะที่แสดงถึงการต้อนรับนั่นเอง และความอุดมสมบูรณ์ 
เต่เหลี่ยว สำหรับใช้ในการไหว้ถี่ก๊อง จะจัดเพิ่มขึ้นมารวมทั้งหมดเป็นสิบสองชนิด ถือเป็นอามิสบูชาที่นำถวายต่อถี่ก๊อง ซึ่งจะเรียกว่า "จับหยี่อั๊ว" ได้อีกด้วย

[หลักฉ่าย六菜] เครื่องบวงสรวงเจ ตามธรรมเนียมนิยมของคนฮกเกี้ยน

[หลักฉ่าย六菜] หรือ [หลักเจ六齋]

麵線 หมี่สั่ว
吃麵線,闔家添歲壽
香菇 เฮียงก้อ (เห็ดหอม)
食香菇,頭胎生查埔
ตังหู้น (วุ้นเส้น)
กิมเจี้ยม (ดอกไม้จีน)
บกหนี (เห็ดหูหนู)
เตกกากี่ (ฟองเต้าหู้)

ไซเหอ(西河) ยี่ห้อของคนแซ่ หลิม (林)


แซ่หลิม(林) ใช้ ไซเหอ(西河) เพื่อบ่งบอกถึงที่มาของบรรพชนที่สืบเนื่องกันมากว่าสามพันหกร้อยปี 
หลิม(林หมายถึงป่า) จึงใช้ลวดลายมงคลพฤกษาสามชนิดเป็นองค์ประกอบ คือ松 สน อันเป็นสัญลักษณ์ของความยั่งยืน竹 ไผ่ อันเป็นพญาแห่งมวลพฤกษา บ้างว่าเปรียบเสมือนชายชาตรี梅 ดอกเหมย อันมีความหอมเป็นเลิศ บ้างว่าเปรียบเสมือนอิสตรีพืชพรรณทั้งสามล้วนสามารถเจริญเติบโตและยืนหยัดได้เป็นอย่างดีแม้ในช่วงฤดุหนาว เมื่อนำทั้งสามมาอยู่ในภาพเดียวกัน เรียกว่า "歲寒三友-岁寒三友(สามสหายแห่งฤดูหนาว)" โดยมีนัยยะที่ว่า 
"จิตใจอันเข้มแข็งทะนงและองอาจ กล้าที่จะต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคโดยไม่ย่อท้อ แม้ในช่วงเวลาอันแปรปรวน" 
หรือนัยยะที่ว่า "ความรักความสามัคคีและน้ำมิตรไมตรี มิตรภาพที่ไม่เคยทอดทิ้งกันและกัน" โดยเปรียบเทียบเอกลักษณ์ของไผ่ สน เหมย ที่ยืนหยัดเคียงข้างกันต่อสู้กับลมหนาวจวบจนถึงวันแรกแห่งฤดูใบไม้ผลิ 
ประหนึ่งว่า แซ่หลิมที่ยังคงสืบสานกันต่อไป

วันอังคาร, เมษายน 05, 2559

รากเหง้าบนป้ายหิน

ถึงกาลเวลาจะลบเลือน แต่ยังเตือนให้รู้ถึงที่มาอักษรจีนที่สลักอยู่บนแผ่นป้ายหินหน้าหลุมฝังศพ หรือที่เรียกว่า "บ่องป๋าย" หรือ "เจี่ยะปี” เมื่อกาลเวลาล่วงเลยมักสึกกร่อนไป แต่สิ่งหนึ่งที่ยังหลงเหลือไว้คือเรื่องราวของบรรพชนที่สืบสายกันมาจากรุ่นสู่รุ่นถึงปัจจุบัน

แผ่นป้ายนี้ สลักอะไร???
แผ่นป้ายนี้ สาระสำคัญจะอยู่ที่การระบุชื่อแซ่ของเจ้าของร่างอันไร้วิญญาณที่อยู่ในสุสานหรือบ่อง() โดยในแต่ละป้ายจะแบ่งออกเป็นสามแถว เรียงกันอยู่

1-แถวซ้าย  เป็นการระบุถึงวันเดือนปีที่สร้างสุสานนี้ ตลอดจนระบุถึงภูมิลำเนาเดิมในแผ่นดินจีน

2-แถวกลาง เป็นการระบุถึงชื่อแซ่ของผู้วายชนม์

3-แถวขวา เป็นการระบุถึงชื่อของผู้สร้างสุสานนี้ ซึ่งมักเป็นชื่อของบุตรหลานของผู้วายชนม์


สำหรับส่วนบนสุดของแผ่นป้ายจะสลักคำว่า “” ในที่นี้จะหมายถึงบรรพชน (อีกความหมายหนึ่งจะหมายถึง ทวด)

หรือจะสลักคำว่า “” เป็นคำยกย่องเทิดทูนผู้วายชนม์

ในกรณีที่วายชนม์เป็นชายหรือเป็นบิดาจะสลักคำว่า “顯考” ตามด้วยชื่อของผู้วายชนม์และนามสกุลหรือแซ่

และในกรณีที่วายชนม์เป็นหญิงหรือเป็นมารดาจะสลักคำว่า “顯妣 ตามด้วยชื่อของผู้วายชนม์และนามสกุลหรือแซ่เดิมก่อนการสมรส

และมีการสลักถึงภูมิลำเนาเดิมที่เมืองจีนไว้ในส่วนบนของแผ่นป้าย (ตามภาพประกอบ 平和 คือชื่อเมืองในมณฑลฮกเกีี้ยน) 
ทั้งนี้ รูปแบบในการสลักอักษรลงบนแผ่นป้ายหน้าสุสานยังมีหลากหลายแตกต่างกันไป ตามธรรมเนียมปฏิบัติของกลุ่มคนนั้นๆ ในที่นี้จะกล่าวถึงรูปแบบที่มีมากในท้องที่อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกหลานชาวจีนฮกเกี้ยน(福建)พอสังเขปเท่านั้น 

อนึ่งผู้เขียนบันทึกนี้เป็นเพียงผู้สนใจใฝ่รู้ บันทึกขึ้นมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาเรื่องราวของคนในท้องถิ่น จึงใคร่เชิญชวนให้ผู้สนใจร่วมศึกษากันต่อไปในภายภาคหน้าเพื่อประโยชน์ของสาธารณะชนรุ่นต่อๆไป 
LimFuGui 05/04/2016

วันพุธ, มีนาคม 23, 2559

"พังค่าฟ้าแดง" หาใช่ "พังงาฟ้าแดง" ไม่

"พังงาฟ้าแดง" 
จากช่วงหนึ่งของวรรณกรรมที่ว่า
"ชายใดจากหญิงภรรยาไปเมืองจีน ไปชวา ไปพังงาฟ้าแดงเกิน 3 ปี อนุญาติให้หญิงนั้นมีชู้ได้" สะท้อนให้เห็นถึงความห่างไกลและทุรกันดารของถิ่นพังงาในสมัยนั้น 



แต่...ในที่นี้ขอกล่าวถึง บทความที่ใกล้เคียงกับบทความข้างต้นที่ว่า..

"...แม้นว่าชายไปเมืองจีนไปชะแลไปเชียงใหม่ไปพังค่าไปชะวาผาแดงดั่งนั้นไซ้ ท่านให้หญิงอยู่ถ้าสามปี ถ้าได้ข่าวว่าสลัดจับชายผัวไปได้ แลสำเภาสัดไปตกข้าศึก ให้หญิงอยู่ถ้าเจ็ดปี
ถ้าพ้นสาม/เจ็ดปีแล้วหญิงมีชู้ผัว มิให้มีโทษแก่หญิงชายนั้นเลย ถ้าชายผัวเก่ามาทำร้ายแก่เฃาทังสองไซ้ ท่านให้ไหมดุจเดียวแล..."


[พระไอยการลักษณผัวเมีย หมวด ๗ มาตรา ๖๒ วรรค ๒] กฎหมายตราสามดวง ฉบับพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง แก้ไขปรับปรุงใหม่ เล่ม ๒ พ.ศ. ๒๕๔๘ สถาบันปรีดี พนมยงค์



"ไปเมืองจีน ไปชะแล ไปเชียงใหม่ ไปพังค่า ไปชะวา ผาแดง"

ซึ่งทั้งหมดคือชื่อบ้านนามเมือง ในที่นี้ขอกล่าวถึง
"พังค่า"

พังค่าในที่นี้หาใช่พังงาในปัจจุบันไม่!!

"พังค่า" หรือ เมืองพังคาน่าจะอยู่ทางเหนือ เชื่อว่าปัจจุบันคือ "เมืองนครสวรรค์" นั่นเอง

อ้างอิงจาก ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๔ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และ เว็บของทางเทศบาลนครสวรรค์ โดยคุณเพ็ญชมพู
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5496.0

(กฎหมายตราสามดวง คือ ประมวลกฎหมายในรัชกาลที่ 1 ปฐมกษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชำระกฎหมายเก่า ที่มีมาแต่ครั้งโบราณ แล้วรวบรวมเป็นประมวลกฎหมายขึ้นเมื่อ พ.ศ.2347)

วันอังคาร, มีนาคม 22, 2559

"คายเจียงเซ่งอ๋อง" ศูนย์รวมจิตใจของตระกูลแซ่ตั๋นในตะกั่วป่า (ตอนที่2)

"ถึงแม้ผู้รวบรวมบทความนี้จะเป็นลูกหลานจีนที่ใช้แซ่หลิม แต่ส่วนหนึ่งทางฝ่ายมารดาเป็นคนแซ่ตั๋น มีบรรพชนเป็นชาวเมืองเจียงจิว มณฑลฮกเกี้ยน จึงร่วมสำนึกในคุณงามความดีของท่านตั๋นเส่งอ๋อง การรวบรวมบทความนี้จึงบันทึกไว้เพื่อเป็นการเผยแพร่คุณงามความดีของท่านสืบไป " 
#บรรพชนสร้างสรรค์ ลูกหลานสืบสาน



ในส่วนนี้เป็นประวัติของท่านตั๋นเส่งอ๋อง ที่ได้รวบรวมจาก http://www.pattaniamulet.com/ ซึ่งได้ปิดตัวลงไปแล้ว จึงขอนำเสนออีกครั้งเพื่อเป็นการระลึกถึงคุณงามความดีของท่านสืบไป



คายจางเซิ่งหวัง หรืออาจเรียกท่านว่า เซิ่งหวังกง () หรือ เฉินเซิ่งหวัง () ซึ่งท่านก็คือ เฉินเอวี๋ยนกวาง (chén yuán guāng)นั่นเอง

เฉินเอวี๋ยนกวาง (ค.ศ. ๖๕๗ เดือน ๒ ค.ศ. ๗๑๑) มีชื่อรองว่า ถิงจวี้
廷炬(tíng jù ) สมญานามว่า หลงหู 龍湖(lóng hú) ดั้งเดิมท่านเป็นคนเมือง เหอตง 河東郡 (hé dōng jùn)ต่อมาท่านได้ย้ายเข้าไปเป็นประชาชนของเมืองจางโจ ว 漳州市(zhāng zhōu shì) ในมณฑลฝูเจี้ยน 福建(fú jiàn)

เมื่อท่านอายุเพียง ๑๓ ปี ท่านอยู่ในมณฑลฝูเจี้ยนได้เข้าร่วมกับบิดาชื่อ เฉินเจิ้ง
陳政 (chén zhèng) ร่วมออกรบด้วยกัน ซึ่งเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชาของด่านกองทัพตอนใต้ ของประเทศจีน ซึ่งบิดาของท่านประจำการอยู่ที่ด่านนี้ ในสมัยจักรพรรดิถังเกาจง (唐高宗) ศักราชอี๋เฟิ่ง (儀鳳) ปีที่ ๒ (ค.ศ. ๖๗๗) เดือน ๔ ท่านเฉินเจิ้งได้ตายในระหว่างในการทำหน้าที่ช่วงที่อ อกรบ ต่อมาทำให้ท่านเฉินเอวี๋ยนกวาง ต้องมารับหน้าที่แทนบิดาของตนเอง โดยมีตำแหน่งเป็นทหารองครักษ์ฝ่ายซ้ายของตำหนักจักรพ รรดิ 玉鈴衛翊府左郎將(yù líng wèi yì fǔ zuǒ láng jiàng)ครั้นที่ท่านอยู่ในตำแหน่ง ท่านมีบทบาทมาก โดยได้ปราบพวกกบฏ และ อันธพาลทั้งหลายที่ก่อความไม่สงบในท้องถิ่นที่ท่านดู แลอยู่ อย่างเช่น ท่านได้ปราบพวกของเฉินเชียน 陳謙(chén qiān)ซึ่งอยู่ในมณฑล กว่างตง (廣東) โดยมีผู้นำ ๒ คนที่ชื่อ เหมียวจื้อเฉิง 苗自成 (miáo zì chéng)และ เหลยว่านซิง 雷萬興(léi wàn xīng) ก่อความไม่สงบสุข แต่ท่านก็ได้ปราบจนทำให้เกิดความสงบสุขเป็นที่เรียบร ้อยได้ เป็นผลให้ เวลาต่อมาทางตอนใต้ของมณฑลฝูเจี้ยนเกิดสันติสุขกันทั่วหน้า ท่านเฉินเอวี๋ยนกวางจึงได้ถูกยกย่องให้เป็น เจิ้งอี้ต้ายฟู 正議大夫 (zhèng yì dài fu)และจักรพรรดิทรงมีคำสั่งแต่งตั้งให้ท่านเป็น ผู้บังคับบัญชารักษาด่านหลิ่งหนานสิงจวิน (嶺南行軍總管) ตั้งแต่บัดนั้น

ครั้นที่ท่านเฉินเอวี๋ยนกวางได้อาศัยอยู่ที่เมืองจางโจว ท่านมีบทบาทในการรวมชนเผ่าต่างๆที่อาศัยอยู่ในเมือง ที่มีขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณี ที่หลากหลายแตกต่างกัน นำมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด เพื่อให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ท่านมีความเชื่อว่า การที่กองทัพทางทหารมีความเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือ กันอย่างเต็มที่ และมีการพัฒนากองทัพให้เข้มแข็งดียิ่งๆขึ้นไป จะมีส่วนช่วยให้ประชาชนมีความเป็นอยู่อย่างสงบสุข และยังเป็นผลให้ ผู้ปกครองและประชาชนในเมืองเฉวียนโจว
泉州市(quán zhōu shì) ในมณฑลฝูเจี้ยน และ เมืองเฉาโจว 潮州 (cháo zhōu shì) ในมณฑลกวางตง ได้ร่วมกันแลกเปลี่ยน สนับสนุน เสริมกำลังทางทหาร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในการรักษาความสงบสุขทั้งสองเมือง

ในสมัยจักรพรรดิถังฉุยก่ง
唐垂拱 (táng chuí gǒng) ปีที่ ๒ (ค.ศ. ๖๘๖) พระนางอู่เจ๋อเทียน (บูเช็กเทียน) 武則天 (wǔ zé tiān) ได้ประกาศ ให้เมืองจางโจวได้ปกครองตนเอง และมีอำนาจเต็มทั้งหมดในการตัดสินใจด้วย รวมไปถึง หมู่บ้านจางผ่อ 漳浦(zhāng pǔ)ก็ได้ยกฐานะขึ้นให้เป็นเมืองเทียบเท่ากับเมืองจาง โจว และยังประกาศให้ท่านเฉินเอวี๋ยนกวางได้เป็นผู้ปกครอง เมืองจางโจว โดยมีตำแหน่งเป็นจางโจวชื่อสื่อ 漳州刺史(zhāng zhōu cì shǐ) หรือเรียกว่า โจวฉาง 州長(zhōu cháng) และยังให้ท่านมีอำนาจในการปกครองเมืองจางผ่อ ควบคู่กันไปทั้งสองเมือง

หลังจากที่ท่านเฉินเอวี๋ยนกวางทำบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อยแล้ว ท่านยังสร้างป้อมปราการป้องกันศัตรูอีก ๓๖ ป้อม ทั่วทั้งในมณฑลฝูเจี้ยนและมณฑลกวางตง มีการพัฒนากองทัพ สร้างทางรถไฟเพิ่มหลายสาย รวมถึงการขยายอาณาเขตให้กว้างออกไปโดย ทิศเหนือ จด เมืองเฉวียนโจว
泉州市(quán zhōu shì) ทิศใต้ จด เมืองเฉาโจว 潮州 (cháo zhōu shì) ทิศตะวันตก จด เมืองก้านโจว 贛州市(gàn zhōu shì) ทิศตะวันออก จด ช่องแคบในประเทศไต้หวั่น 臺灣海峽(tái wān hǎi xiá) และท่านยังได้มีการส่งเสริมให้มีการทำนา เพาะปลูก รวมไปถึงพัฒนาเทคนิคต่างๆในการผลิตผลผลิต และพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีการผลิตพืชผลต่างๆ เช่น ข้าว, ปอ, อ้อย, กล้วย, ลิ้นจี่, ลำไย, และดอกไม้ต่างๆ

จากคุณงามความดีที่ท่านเฉินเอวี๋ยนกวางที่ได้พัฒนาเมืองจางโจว และบริเวณใกล้เคียงให้เกิดความเจริญยิ่งๆขึ้นไป จึงได้รับการยกย่อง สรรเสริญ จากประชาชนโดยทั่วๆไป เมื่อถึงรัชสมัยจักรพรรดิถังเสวียนจง (
唐玄宗) ได้ยกย่องสรรเสริญให้ท่านเฉินเอวี๋ยนกวางเป็น เป้าเทาเว่ยต้าเจี้ยงจวิน 豹韜衛大將軍(bào tāo wèi dà jiàng jūn)และ หลินจางโหว 臨漳侯 (lín zhāng hóu)และ มี่จงอี้เหวินฮุ่ย 謐忠毅文惠 (mì zhōng yì wén huì)หลังจากนี้ท่านยังได้รับการยกย่องให้เป็น อิ่งชวนโหว 潁川侯 (yǐng chuān hóu)

ในสมัยจักรพรรดิซ่งฮุยจง
宋徽宗(sòng huī zōng)ได้ยกย่องสรรเสริญท่านเฉินเอวี๋ยนกวาง โดยสลักจารึกคุณงามความดีของท่านบนแผ่นป้าย ซึ่งตั้งอยู่ที่วัดเวยฮุ่ย 威惠廟(wēi huì miào)และในสมัยจักรพรรดิซ่งเซี่ยวจง 宋孝宗(sòng xiào zōng)ได้ยกย่องให้ท่านเป็น ลิ่งจู้ซุ่นอิ้งเจาเลี่ยกว่างจี้หวัง 靈著順應昭烈廣濟王(lìng zhù shùn yìng zhāo liè guǎng jì wáng)

ในสมัยราชวงศ์หมิง ท่านเฉินเอวี๋ยนกวางได้รับการสรรเสริญยกย่องให้เป็น เจาเลี่ยโหว
昭烈侯(zhāo liè hóu )โดยเฉพาะชนชาวจีนในเมืองจางโจวได้ขนานนามยกย่องให้ท ่านคือ คายจางเซิ่งหวัง (開漳聖王)
ความมีชื่อเสียง และ ได้สร้างคุณาประการต่างๆ รวมถึงคุณงามความดีของท่าน ทำให้ชนชาวจีนมีความนับถือ และ เลื่อมใสท่านเป็นจำนวนมากยิ่งๆขึ้นไป โดยมีการก่อสร้างอารามเพื่อการกราบไหว้บูชาท่าน โดยทั้งมณฑลฝูเจี้ยน รวมถึงประเทศไต้หวัน มีอารามของท่านมากกว่า ๑๐๐ แห่ง โดยใช้ชื่อว่า เซิ่งหวังเมี่ยว 聖王廟(shèng wáng miào) เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ปกครองในเมืองจางโจว ได้มีการตั้งชื่อถนนสายหลักในย่านตัวเมืองชื่อว่า เอวี๋ยนกวางเป่ยลู่ 元光北路(yuán guāng běi lù) และ เอวี๋ยนกวางหนานลู่ 元光南路(yuán guāng nán lù) เพื่อให้รำลึกถึงคุณงามความดีครั้นที่ท่านเฉินเอวี๋ยนกวางยังมีชีวิตอยู่ในอดีต (บทความโดยคุณไท้เฉวียน ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ )



"คายเจียงเซ่งอ๋อง" ศูนย์รวมจิตใจของตระกูลแซ่ตั๋นในตะกั่วป่า (ตอนที่1)

ในยุคทองของเมืองตะกั่วป่า มีชาวจีนอพยพเข้ามาทำมาหากินลงหลักปักฐานเป็นจำนวนมาก มีหลากหลายกลุ่ม หลากหลายแซ่ ทั้งชาวจีนฮกเกี้ยน ชาวจีนไหหลำ ชาวจีนกวางตุ้งฯ โดยมีชาวจีนฮกเกี้ยนเป็นส่วนใหญ่ 

ทั้งนี้การเดินทางจากแผ่นดินแม่ในสมัยนั้น ต้องผจญกับความยากลำบาก มีเพียงแรงใจและแรงกายที่มุ่งมั่นหมายที่จะฝ่าฟันอุปสรรคนานานับประการเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวให้มีความมั่นคงและมั่งคั่งกว่าเดิมการพลัดถิ่นเข้ามาอยู่ในดินแดนใหม่จึงจำต้องมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่ม เพื่อจะได้ให้ความช่วยเหลือพวกพ้องเดียวกัน จึงได้มีการจัดตั้งสมาคม(โฮ้ยก้วน)ขึ้นมาในตะกั่วป่า นอกจากเพื่อช่วยเหลือพวกพ้องแล้วยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของเหล่าสมาชิกในสมาคมนั้นๆด้วย โฮ้ยก้วนต่างๆจึงที่ประดิษฐานองค์เทพเจ้าที่ตนนับถือด้วย อาทิ กึงตั้งโหยก้วน ของชาวกวางตุ้ง ประดิษฐานองค์ท่ามกุงหย่า หรือเค่งจิ้วฮ่วยก๊วน ของชาวไหหลำ ประดิษฐานองค์ตุ้ยบ้วยเต๋งเหนี่ยว เป็นต้น 



นอกจากการรวมตัวกันในรูปแบบสมาคมหรือโฮ้ยก้วนแล้ว ยังมีการรวมกลุ่มกันเฉพาะแซ่อีกด้วย ในที่นี้จะกล่าวถึง "เอ่งฉ้วนต๋อง" ของคนแซ่ตั๋น ซึ่งมีจำนวนมากในตะกั่วป่ารวมทั้งพื้นที่ใกล้เคียง จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ได้กรุณาเล่าไว้ว่า ในสมัยที่ยังไม่มีการตัดถนนเส้นถนนกลั่นแก้วลงมาบรรจบกับถนนศรีตะกั่วป่า กงสีของคนแซ่ตั๋นจะตั้งอยู่ที่บริเวณนั้น ซึ่งหมายถึงบริเวณที่เรียกว่า "ปากกรอก(ปากตรอก)" ในปัจจุบันนั่นเอง และเมื่อมีการตัดถนนได้ย้ายมาอยู่ที่ถนนศรีตะกั่วป่าบริเวณใกล้ๆกับร้านรวมสินในปัจจุบัน ก่อนที่จะได้ปิดตัวลงไป
ท่านตั๋นเซ่งอ๋อง หรือตั๋นหงวนก๊อง เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในตระกูลแซ่ จึงมีการจัดงานพบปะสังสรรค์กันโดยถือเอาวันรำลึกถึงองค์ท่านเป็นมงคลวาระ(15ค่ำ เดือน2 ของจีน)ในการพบปะกัน

ท่านตั๋นเซ่งอ๋อง หรือตั๋นหงวนก๊อง ในอดีตท่านได้สร้างคุณงามความดีไว้มากมาย อนุชนครรุ่นหลังล้วนสำนึกถึงความดีของท่าน ดังที่ปรากฎว่ามีการสร้างอนุสาวรีย์ สร้างศาลเจ้าต่างๆ รวมถึงการนำชื่อของท่านมาเป็นชื่อถนน ทั้งในแผ่นดินจีนและไต้หวัน สำหรับลูกหลานจีนโพ้นทะเลล้วนนับถือท่านเป็นเทพเจ้าประจำตระกูลแซ่อีกด้วย 
นอกจากคุณงามความดีที่ได้มีการจดบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แล้ว เพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณและความสามารถของท่านแล้ว ยังมีการนำเรื่องราวของท่านมาสร้างเป็นละครชุด เรื่อง "根在中原"
ซึ่งคุณMamiya ได้กรุณาบันทึกไว้เป็นเรื่องย่อ สามารถติดตามได้ที่
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=mamiya&month=28-10-2008&group=1&gblog=41
จึงของแสดงความขอบคุณมา ณ ที่นี้


"ถึงแม้ผู้รวบรวมบทความนี้จะเป็นลูกหลานจีนที่ใช้แซ่หลิม แต่ส่วนหนึ่งทางฝ่ายมารดาเป็นคนแซ่ตั๋น มีบรรพชนเป็นชาวเมืองเจียงจิว มณฑลฮกเกี้ยน จึงร่วมสำนึกในคุณงามความดีของท่านตั๋นเส่งอ๋อง การรวบรวมบทความนี้จึงบันทึกไว้เพื่อเป็นการเผยแพร่คุณงามความดีของท่านสืบไป "
#บรรพชนสร้างสรรค์ ลูกหลานสืบสาน


วันศุกร์, มีนาคม 18, 2559

ไซเหอ(西河) เต่งโหของคนแซ่หลิม(林)

แซ่หลิม(林) ใช้ ไซเหอ(西河) เพื่อบ่งบอกถึงที่มาของบรรพชนที่สืบเนื่องกันมากว่าสามพันหกร้อยปี
หลิม(林หมายถึงป่า) 

สำหรับงานชิ้นนี้เป็นภาพอักษรจีนคำว่า 
ไซเหอ(西河) โดยใช้วืธีการตัดฉลุลาย ออกแบบโดยใช้ลวดลายมงคลพฤกษาสามชนิดเป็นองค์ประกอบ คือ松 สน อันเป็นสัญลักษณ์ของความยั่งยืน竹 ไผ่ อันเป็นพญาแห่งมวลพฤกษา บ้างว่าเปรียบเสมือนชายชาตรี梅 ดอกเหมย อันมีความหอมเป็นเลิศ บ้างว่าเปรียบเสมือนอิสตรีพืชพรรณทั้งสามล้วนสามารถเจริญเติบโตและยืนหยัดได้เป็นอย่างดีแม้ในช่วงฤดุหนาว เมื่อนำทั้งสามมาอยู่ในภาพเดียวกัน เรียกว่า "歲寒三友-岁寒三友(สามสหายแห่งฤดูหนาว)" โดยมีนัยยะที่ว่า 
"จิตใจอันเข้มแข็งทะนงและองอาจ กล้าที่จะต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคโดยไม่ย่อท้อ แม้ในช่วงเวลาอันแปรปรวน"
หรือนัยยะที่ว่า "ความรักความสามัคคีและน้ำมิตรไมตรี มิตรภาพที่ไม่เคยทอดทิ้งกันและกัน" โดยเปรียบเทียบเอกลักษณ์ของไผ่ สน เหมย ที่ยืนหยัดเคียงข้างกันต่อสู้กับลมหนาวจวบจนถึงวันแรกแห่งฤดูใบไม้ผลิ
ประหนึ่งว่า แซ่หลิมที่ยังคงสืบสานกันต่อไป

"นมัสการ "พ่อท่านแหวง" ร่วมแรงสืบสานศาสนา"

"ปฎิวาสกรรม"
"นมัสการ "พ่อท่านแหวง"  ร่วมแรงสืบสานศาสนา"
งานปฏิบัติธรรมอยู่ปริวาสกรรมของพระภิกษุ
11-20 มีนาคม 2559