จากช่วงหนึ่งของวรรณกรรมที่ว่า
"ชายใดจากหญิงภรรยาไปเมืองจีน ไปชวา ไปพังงาฟ้าแดงเกิน 3 ปี อนุญาติให้หญิงนั้นมีชู้ได้" สะท้อนให้เห็นถึงความห่างไกลและทุรกันดารของถิ่นพังงาในสมัยนั้น
แต่...ในที่นี้ขอกล่าวถึง บทความที่ใกล้เคียงกับบทความข้างต้นที่ว่า..
"...แม้นว่าชายไปเมืองจีนไปชะแลไปเชียงใหม่ไปพังค่าไปชะวาผาแดงดั่งนั้นไซ้ ท่านให้หญิงอยู่ถ้าสามปี ถ้าได้ข่าวว่าสลัดจับชายผัวไปได้ แลสำเภาสัดไปตกข้าศึก ให้หญิงอยู่ถ้าเจ็ดปี
ถ้าพ้นสาม/เจ็ดปีแล้วหญิงมีชู้ผัว มิให้มีโทษแก่หญิงชายนั้นเลย ถ้าชายผัวเก่ามาทำร้ายแก่เฃาทังสองไซ้ ท่านให้ไหมดุจเดียวแล..."
[พระไอยการลักษณผัวเมีย หมวด ๗ มาตรา ๖๒ วรรค ๒] กฎหมายตราสามดวง ฉบับพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง แก้ไขปรับปรุงใหม่ เล่ม ๒ พ.ศ. ๒๕๔๘ สถาบันปรีดี พนมยงค์
"ไปเมืองจีน ไปชะแล ไปเชียงใหม่ ไปพังค่า ไปชะวา ผาแดง"
ซึ่งทั้งหมดคือชื่อบ้านนามเมือง ในที่นี้ขอกล่าวถึง
"พังค่า"
พังค่าในที่นี้หาใช่พังงาในปัจจุบันไม่!!
"พังค่า" หรือ เมืองพังคาน่าจะอยู่ทางเหนือ เชื่อว่าปัจจุบันคือ "เมืองนครสวรรค์" นั่นเอง
อ้างอิงจาก ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๔ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และ เว็บของทางเทศบาลนครสวรรค์ โดยคุณเพ็ญชมพู
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=5496.0
(กฎหมายตราสามดวง คือ ประมวลกฎหมายในรัชกาลที่ 1 ปฐมกษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชำระกฎหมายเก่า ที่มีมาแต่ครั้งโบราณ แล้วรวบรวมเป็นประมวลกฎหมายขึ้นเมื่อ พ.ศ.2347)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น